ถึงเวลาแล้วสำหรับ elden ring , มหากาพย์ RPG เกมล่าสุดจากทีมงาน FromSoftware ผู้สร้างซีรีส์ Souls, Bloodborne และ Sekiro: Shadows Die Twiceแล้วเกมนี้มันจะยอดเยี่ยมสมกับการรอคอย รวมถึงความตื่นเต้นของแฟน ๆ หรือไม่ ขอเชิญมาติดตามกันได้ในบทความรีวิวของเรา
เนื้อเรื่อง elden ring
elden ring ขอต้อนรับสู่ “The Lands Between“ หรือในชื่อภาษาไทยว่า “ดินแดนมัชฌิมา” ที่นี่คือแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ปกครองโดยราชินีมาริกา ผู้เปรียบดั่งพระเจ้าสูงสุดของโลกนี้ พร้อมกันก็ยังมี “วงแหวนเอลเดน” ที่เป็นพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่ คอยประทานพรให้กับทุกสรรพสิ่งเสมอมา แต่แล้วก็ถึงคราวที่อำนาจสิ้นสุด เมื่อมีเหตุให้วงแหวนเอลเดนต้องแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ และตามมาซึ่งสงครามครั้งใหญ่ของเหล่าผู้ที่หวังจะช่วงชิงอำนาจ, ในสงครามนั้นไม่มีผู้ชนะ หากแต่เมื่อแหวนแห่งเอลเดนแตกลง พรก็เสื่อมสลาย ทำให้ที่นี่กลับกลายเป็นดินแดนต้องสาป มีอันตรายไปทั่วทุกหัวระแหง พร้อมกับการหายสาบสูญของราชินีมาริกา
และในบัดนี้เอง เราก็จะได้รับบทเป็นทายาทของ “ผู้มัวหมอง” กลุ่มฮีโร่ที่ครั้งหนึ่งเคยถูกขับไล่ ทว่าในที่สุดก็ถึงเวลาที่พวกเขาจะได้มากอบกู้ดินแดน ด้วยการตามหาวงแหวนเอลเดน ฟื้นฟูอำนาจศักดิ์สิทธิ์กลับคืนมา และขึ้นเป็นราชาคนใหม่ปกครองที่นี่สืบไป เมื่อดูแล้วก็เป็นพล็อตที่แฟนเกมตระกูล Souls น่าจะคุ้นเคยกันดี แต่เห็นแบบนี้ก็ต้องบอกว่ามันมีอะไรมากกว่าที่คิด ด้วยความที่ได้คุณ George R.R. Martin (ผู้ให้กำเนิด Game of Thrones) มาเขียนเรื่องราวตำนานเบื้องหลัง ก็ทำให้ Elden Ring มันออกมาซับซ้อนกว่าทุกที เพราะในแต่ละสถานที่จะเต็มไปด้วยความลับจำนวนมาก ซึ่งถูกขยายความมาจากพล็อตหลักว่าพอวงแหวนเอลเดนแตกสลายไปแล้ว มันมีหายนะอะไรตามมาบ้าง
เนื้อเรื่องย่อย ๆ เหล่านี้จะเล่าผ่านการสนทนาของตัวละครที่เราได้พบ, ผ่านคำทำนาย, เอกสารจารึกต่าง ๆ หรือไม่ก็ได้ไปเห็นกันจะ ๆ ด้วยตาของตัวเอง ซึ่งเมื่อถึงตอนนั้นก็จะทำให้เข้าใจได้เลยว่าเหตุการณ์แต่ละอย่าง มันเชื่อมโยงกันได้อย่างไร ด้วยองค์ประกอบเหล่านี้ มันจึงยังคงเป็นการเล่าเรื่องในสไตล์ของเกม Souls อยู่ ไม่ได้มีคัทซีนสำคัญมาให้เราเข้าใจเนื้อเรื่องแบบตรง ๆ ซึ่งในอีกมุมหนึ่งมันก็ทำให้ดูเป็นธรรมชาติอยู่เหมือนกัน เพราะภาพที่ออกมาจะราวกับว่าเราเป็นแค่ส่วนเล็ก ๆ ส่วนหนึ่ง, โลกไม่ได้หมุนรอบตัวเรา และหลายตัวละครในเรื่อง ต่างก็มีความเป็น “พระเอก” ในแบบฉบับของตัวเองอยู่แล้ว
การนำเสนอ
Elden Ring คือการปรับเปลี่ยนรูปแบบเกมซีรีส์ Souls ให้กลายเป็นพื้นที่เปิดขนาดใหญ่ ซึ่งทีมงานให้คำจำกัดความว่ามันคือ “Open Field” ไม่ได้เป็น Open World เหมือนอย่างที่หลายคนเข้าใจในตอนแรก ความหมายของมันก็คือพื้นที่ขนาดใหญ่ ที่ผู้เล่นสามารถเลือกได้ว่าจะไปทำอะไรก่อน แต่ก็จะมีข้อจำกัดมากมายที่ทำให้เราไม่ได้มีอิสระขนาดนั้น อาจจะเป็นเรื่องของศัตรูที่แกร่งเกินไป หรือบางสถานที่ที่ยังไม่เปิด จนกว่าเราจะทำบางอย่างจนครบเงื่อนไข เช่นปราบบอสจนสำเร็จ หรือเก็บไอเท็มบางอย่างมาเพื่อปลดล็อคทางไปต่อ
และในความเป็น Open Field ของเกมนี้ ก็เลยทำให้ตัวเกมจะไม่ได้ Open ไปตลอด เพราะจะมีการใส่ดันเจี้ยนเข้ามาด้วย ทั้งดันเจี้ยนย่อยที่กระจัดกระจายตามแผนที่ และดันเจี้ยนหลักตามเนื้อเรื่อง ซึ่งถ้าลองได้เข้ามาในดันเจี้ยนพวกนี้แล้ว มันก็จะเป็นแมพ ๆ หนึ่งจากเกมตระกูล Souls แบบที่เราคุ้นเคยกัน เพราะมีเลเวลดีไซน์ที่ซับซ้อน และก็ยังมีกลไกแบบต่าง ๆ ทั้งลิฟต์ หรือประตูทางลัดที่ล็อคไว้ให้เปิดได้จากอีกด้านเท่านั้น ซึ่งพวกนี้ใส่มาให้แบบเต็มที่ ปะปนกันไปกับศัตรูสุดโหด ที่โผล่มาได้ตลอดเวลาแบบไม่ทันตั้งตัว
ในอีกมุมหนึ่ง โซนพื้นที่เปิดโล่งของเกมมันก็กว้างใหญ่จนต้องบอกคำเดียวเลยว่าชวนให้ตะลึงมาก มันมีอะไรให้เราสำรวจทั่วไปหมด นอกจากดันเจี้ยนแล้วก็ยังมีโซนเล็ก ๆ อย่างหมู่บ้าน, แคมป์ทหาร หรือรังสัตว์ประหลาด แต่ละจุดก็จะได้รับรางวัลกลับมาหากเรามีฝีมือมากพอ เป็นพวกไอเท็มสำคัญ, อาวุธใหม่ ๆ หรือสกิลใหม่ ๆ เอาไว้อัปเกรดตัวเองให้เก่งขึ้น
สำหรับ World Design ของเกมนี้, นี่ก็คือจุดที่สมบูรณ์แบบที่สุดแล้วของทีมงาน FromSoftware มันไม่มีส่วนไหนเลยที่เราจะไม่อยากมอง ไม่ว่าตรงนั้นมันจะผุพัง เน่าเปื่อยแค่ไหน พวกเขาก็ยังจัดวางองค์ประกอบศิลป์ได้ดีมาก, มีการปรับนิด แต่งหน่อยมาจากเกมก่อน ๆ จนกลายมาเป็นโลกดาร์คแฟนตาซีที่ผู้เล่นจะไม่มีทางเบื่อ และถ้าใครเคยเล่นเกม Souls ก็จะรู้เลยว่าพวกปราสาท, ภูเขา หรือสถานที่ต่าง ๆ ที่เห็นอยู่ไกล ๆ เป็นแบคกราวด์ เราจะสามารถเดินทางไปเหยียบตรงนั้นได้จริง ๆ ในภายหลัง ซึ่งพอมาเป็น Elden Ring แล้ว ตัวเกมก็นำข้อดีตรงนี้มาขยายต่อแบบจัดเต็ม ทุกอย่างมีจุดเชื่อมต่อถึงกัน และก็มีมิติทั้งแนวราบและแนวดิ่งให้ได้สำรวจกันแบบฟิน ๆ ทีเดียว
ที่สำคัญคือแดนมัชฌิมาแห่งนี้มันกว้างใหญ่มาก ถึงขนาดที่ว่าพวกเขาสร้างสถานที่ในหมวดหมู่เดียวกันได้มากกว่าหนึ่งแห่ง เช่นถ้าเป็นปราสาท ก็จะมีปราสาทอยู่หลายแบบเต็มไปหมด, “บึงพิษ” ขวัญใจแฟน ๆ ก็มีหลายแบบเช่นกัน หรือถ้าเป็นพวกหมู่บ้าน, เหมืองแร่ ก็จะมีมากกว่าหนึ่งที่ แต่ละที่มีหน้าตา, โทนสี และศัตรูไม่เหมือนกัน เห็นแล้วก็จะรู้เลยว่าไม่ได้เป็นการคัดลอกเอามาวางให้มันดูเยอะ ๆ เต็มพื้นที่ ซึ่งด้วยความที่มันมีอะไรให้สำรวจเยอะมาก เพราะฉะนั้นเกมนี้ก็เลยยังเป็นดีไซน์ในแบบที่ผู้เล่นไม่จำเป็นต้องเก็บครบทุกจุด ถ้าใจถึงและเก่งพอ ก็มุ่งหน้าตรง เล่นแต่ดันเจี้ยนหลักไปจนจบได้เลย ไม่ต้องแวะทุกที่ที่ผ่านหน้าก็ได้ เพื่อให้เข้ากับโลกขนาดใหญ่ ที่จะต้องใช้เวลาสำรวจยาวนาน คราวนี้ทีมงานจึงใส่ตัวช่วยมาให้เรามากมาย ซึ่งมันคือการต่อยอดจากเกมก่อน ๆ ดึงเอาข้อดีของแต่ละเกมมาใช้จนเป็นเกมที่ดูเข้าถึงคนหมู่มากได้
อย่างระบบจุดเซฟ ที่ใช้ชื่อว่า Grace หรือ “พร” ในภาษาไทย (หรือ Bonfire ในเกมอื่นที่เราคุ้นเคย) ตรงจุดนี้มันถูกปรับปรุงให้ใส่ฟังก์ชันที่ลงตัวเข้าไปหมดแล้ว ที่เดียวสามารถอัปเลเวล, ปรับแต่งขวดยาฟื้นฟู หรือจะสับเปลี่ยนเวลากลางวันกลางคืนก็ทำได้ ซึ่ง Grace ตัวนี้จะมีฟังก์ชันเพิ่มเติมเข้ามาเป็นเส้นลำแสงที่ชี้ไปทิศใดทิศหนึ่ง และทางที่มันชี้ ก็คือทางที่จะทำให้เนื้อเรื่องเดินต่อนั่นเอง และในเมื่อทำเกมออกมาสเกลใหญ่ขนาดนี้ ก็ถึงคราวที่ผู้เล่นจะมีแผนที่ไว้ดูสักที พ่วงมาด้วยระบบ Fast Travel ให้วาร์ปไปมาได้แล้วระหว่างแต่ละ Grace ทำให้เราไม่ต้องวิ่งไปให้ถึง Grace ก่อนแล้วค่อยกด Fast Travel อีกต่อไป ซึ่งถึงแม้มันจะฟังดูเป็นสิ่งใหม่ แต่จริง ๆ มันก็ควรจะต้องมีอยู่แล้วสำหรับเกมลักษณะนี้ ส่วนขวดยาฟื้นพลังที่ผู้เล่นพกติดตัวไว้กันตาย ตรงนี้เราก็ไม่ต้องกลัวจะใช้ไม่พอในโซน Open Field เพราะตัวเกมมันจะมีระบบ Mob ใส่เข้ามาด้วย มันคือศัตรูที่อยู่กันเป็นกลุ่ม ๆ และถ้าผู้เล่นจัดการ Mob ได้จนหมด เราก็จะได้ยากลับคืนมาจำนวนหนึ่ง ก็เลยทำให้ไม่ต้องแวะกลับไปพักที่ Grace บ่อย ๆ ออกสำรวจต่อไปได้เลยยาว ๆ
ในด้านของหน่วยเงิน มันยังคงใช้หน่วย ๆ เดียวในการทำสารพัดอย่าง ถ้าเป็นเกมก่อน ๆ มันคือ Soul ส่วนเกมนี้จะเรียกว่า Rune ซึ่งก็ยังใช้กฎเหล็กข้อเดิมว่า “ตายเมื่อไหร่ Rune หายทั้งหมด” และก็ต้องวิ่งกลับไปเก็บในจุดที่เราตายให้ได้ ถ้าพลาดตายก่อนอีกรอบก็หายถาวร แต่สิ่งที่ง่ายขึ้นใน Elden Ring คือเกมมันมีบทลงโทษให้เราแค่นั้นจริง ๆ เพราะผู้เล่นจะตายซ้ำตายซากขนาดไหนก็ไม่มีผลให้เกมมันยากขึ้นอีกแล้ว ไม่มีร่าง Hollow เป็นหน้าผีจนเสียโฉม ไม่มีระบบโลกขาว-โลกดำแบบใน Demon’s Souls ทำให้เรากล้าที่จะสำรวจ, กล้าเสี่ยงสู้กับบอสตัวโหด ๆ ได้มากกว่าเดิม แบบไม่ต้องกลัวว่าตายแล้วจะเสียอะไรนอกจากเสียดายเวลา ตัวช่วยของเกมยังไม่หมดแต่เพียงเท่านี้ เพราะเราจะไม่ต้องรับมือกับฝูงศัตรูด้วยวิธีล่อมันออกมาทีละตัวอีกแล้ว แต่คราวนี้สามารถอัญเชิญวิญญาณออกมาช่วยสู้ได้ โดยวิญญาณพวกนี้มันจะช่วยดึงความสนใจบางส่วนไปจากเรา ซึ่งก็มีหลายแบบทั้งวิญญาณนักเวทย์, วิญญาณสัตว์ หรือถ้าใครชอบแบบวุ่นวายหน่อย จะเลือกเป็นฝูงวิญญาณกลุ่มเยอะ ๆ ออกมาสู้กับ Mob ศัตรูก็ได้เหมือนกัน
และถ้าพูดถึงอีกหนึ่งไฮไลต์ของเกม ก็คงจะหนีไม่พ้นระบบขี่ม้า ซึ่งมันเข้ามาเปลี่ยนเกมการเล่นให้สนุกขึ้นเยอะมากจริง ๆ เพราะนอกจากจะเคลื่อนที่ได้ว่องไวแล้ว เราก็ยังสู้จากบนหลังม้าได้ด้วย ทำให้บางจุดกลายเป็นของง่ายไปเลย ด้วยวิธี Hit and Run ขี่ม้าวนจัดการศัตรูไปเรื่อย ๆ ที่สำคัญก็ไม่ต้องกลัวว่าจะเจ็บตัวมาก เพราะถ้าโดนโจมตีอะไร ส่วนใหญ่ก็จะโดนที่ตัวม้าก่อน แต่ก็ใช่ว่าขี่ม้าแล้วจะไร้เทียมทานไปเสียทีเดียว เพราะศัตรูระดับบอสส่วนใหญ่ก็จะมีท่าที่โจมตีรุนแรงมาก จนอาจจะกระแทกให้เราตกหลังม้าได้ ซึ่งถ้าตกหลังม้าขึ้นมาเมื่อใด เราจะอยู่ในสถานะไร้การป้องกัน และมีโอกาสสูงมากที่จะโดนซ้ำต่อจนตาย แถมบอสบางตัวก็ยังโหดจนทำเอาลังเลได้เหมือนกัน ว่าขี่ม้าสู้หรือยืนสู้จะง่ายกว่า ทำให้ผู้เล่นต้องชั่งน้ำหนักให้ดีว่าจะเลือกใช้ม้าในตอนใด จึงจะเหมาะกับกลยุทธ์ของตัวเองที่สุด นอกจากนี้ การขี่ม้าจะจำกัดเฉพาะพื้นที่เปิดโล่ง ซึ่งถ้าเป็นพวกดันเจี้ยนก็จะยังบังคับให้เราต้องเดินเท้าเหมือนเดิม เลยทำให้มันยังมีความเป็นเกมตระกูล Souls อยู่ในอัตราส่วนที่กำลังพอเหมาะพอดี ต้องขี่ม้าสู้บ้าง ยืนสู้ตามปกติบ้าง แล้วแต่สถานการณ์จะเอื้ออำนวย
ระบบการเล่น
จะบอกว่าในด้านเกมเพลย์แล้ว นี่คือ Dark Souls ภาคต่อก็คงไม่เกินเลยไป เพราะพื้นฐานมันยังเป็นเกมที่เราต้องบริหารค่า Stamina ให้ดีว่าจะโจมตีหรือตั้งรับ และก็ยังมีให้ผู้เล่นกด Parry ปัดป้องศัตรู, มีการแทงข้างหลังศัตรูเหมือนเดิม ขณะเดียวกันก็หยิบเอาอีกหลายระบบจากเกมอื่นเข้ามาใส่ไว้ด้วย ทั้ง Stealth, กระโดด, ระบบการทรงตัวแบบ Sekiro ที่ถ้าเราโจมตีเข้าไปย้ำ ๆ ก็จะทำให้ศัตรูเสียหลักและเปิดช่องโหว่ให้เราปิดฉากอย่างรุนแรง ทั้งหมดมันทำให้คนที่เคยผ่านเกมของ FromSoftware มาก่อน จะปรับตัวได้ไวมากกับระบบการควบคุมของเกมนี้ เซนส์ทุกอย่างยังคงใช้ได้ ใครที่เคยจับจังหวะหลบท่าบอสได้แม่น ๆ พอมา Elden Ring แล้วก็จะยังเล่นเก่งเหมือนเดิม ส่วนที่เพิ่มขึ้นมาใหม่ ก็คือใน Elden Ring ผู้เล่นจะสามารถติดตั้งสกิลที่ชอบลงไปในอาวุธได้เองแล้ว ผ่านระบบ “เถ้าสงคราม” ซึ่งจะมาในรูปแบบของไอเท็ม ๆ หนึ่งที่มีบอกว่าเอาไปใช้กับอาวุธอะไรได้บ้าง มันเลยทำให้เกมนี้มี Build หลากหลายขึ้น และถ้าเป็น PvP ก็จะสนุกมาก เพราะเวลาเห็นศัตรูถือดาบเดินเข้ามา ก็จะไม่รู้เลยว่าเขามีสกิลอะไร กว่าจะรู้ก็ต้องเริ่มสู้กันไปแล้ว ซึ่งสกิลพวกนี้มันก็มีทั้งแบบที่เป็นสกิลกายภาพ และแบบที่เป็นเวทมนตร์ (จะทำดาบให้เสกสายฟ้าลงมาก็ได้)
กล่าวคือ ลูกเล่นของการต่อสู้จะขึ้นอยู่กับสกิลที่ผู้เล่นติดตั้งทั้งหมด แม้แต่การ Parry มันก็ถือเป็นสกิล ๆ หนึ่งด้วย ดังนั้นถ้าถือโล่บางอัน เราก็อาจจะใช้สกิลจากดาบไม่ได้ เพราะเวลากดปุ่มใช้สกิลมันจะเป็นการ Parry แทน ถ้าอยากถือโล่แล้วใช้ท่าจากดาบไปด้วยเท่ ๆ ทางเลือกก็คือต้องเปลี่ยนไปใช้โล่ขนาดกลางที่ไม่มีสกิลติดตัว ไม่อย่างนั้นก็เปลี่ยนอาวุธที่มือซ้ายไปใช้อย่างอื่นที่ไม่มีสกิลก็ได้ เลยทำให้ใครที่ติดการ Parry ก็ต้องคิดหนักเหมือนกัน ว่าจะจัดการกับอาวุธในมืออย่างไรให้เข้ากับตัวเองที่สุด อีกจุดหนึ่งที่เกมปรับให้ง่ายขึ้น ก็คือการเพิ่ม Hit โจมตีให้กับอาวุธระยะประชิด ตีได้เยอะขึ้นไม่พอ ยังใช้ Stamina น้อยลงอีกด้วย เพราะฉะนั้นพวกอาวุธที่ตีหนัก ๆ ทั้งหลายจะเฉิดฉายมาก อย่างดาบใหญ่, ขวาน, ค้อน พวกนี้ถ้าแม่น ๆ หน่อยก็สามารถทำลูปโจมตีให้ชะงักได้แบบต่อเนื่องเลย แต่ถึงเกมจะดูดีหลายด้าน ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีข้อเสีย เพราะหลายสถานการณ์ก็ยังไม่ได้ก้าวข้ามไปจากดีไซน์เดิมที่มันไม่เวิร์คอีกแล้ว อย่างแพลตฟอร์มแคบ ๆ ที่ทำมาให้เราต้องค่อย ๆ กระโดดลงไป ส่วนนี้ก็ดูขัดแย้งในตัวเองเพราะ Elden Ring มันปรับมาให้เรากระโดดลงจากที่สูงได้เยอะแล้วแบบไม่เจ็บตัวมาก พอใส่ฉากสูง ๆ ผิดธรรมชาติมาให้เราเล็งกระโดดเพิ่มอีกก็เลยชวนงงอยู่เหมือนกัน
หรืออย่างระบบลอบเร้น ก็ถูกใส่เข้ามาได้ค่อนข้างแปลก เพราะมันไม่มีอะไรบอกเลยว่าเราถูกเจอตัวแล้ว ซึ่งถ้าเป็นอย่าง Sekiro จะยังพอมีเสียงเอฟเฟคต์มาบอกให้เรารู้ก่อนนิดหนึ่ง แต่เกมนี้ต้องดูหน้าศัตรูล้วน ๆ ว่ามันพุ่งมาจะฆ่าเราหรือยัง และพอระบบลอบเร้นมันทำมาไม่ชัดเจน ก็เลยกระทบไปหาฟังก์ชันเปิดแผนที่ด้วย ทั้งนี้ต้องบอกก่อนว่าตัวเกมจะอนุญาตให้เปิดแผนที่ได้ก็ต่อเมื่อเราไม่ได้อยู่ในการต่อสู้ แต่พอไม่มีอะไรแจ้งว่าเมื่อใดที่มันจะกลับไปอยู่ในโหมดลอบเร้นอีกรอบ ก็ทำให้ต้องรอฟังเพลงประกอบเอาเองว่ามันเปลี่ยนกลับมาสงบแล้วหรือยัง หรือไม่ก็กดเปิดแมพย้ำ ๆ จนกว่าเกมจะยอมให้เปิด เป็นอันเข้าใจได้ว่ากลับมาสู่โหมดลอบเร้นแล้ว
กราฟิก / ประสิทธิภาพ
ในด้านของกราฟิก ต้องบอกตามตรงว่าบรรดา Texture และเทคนิคภาพต่าง ๆ มันยังสู้ Demon’s Souls ฉบับ Remake บน PlayStation 5 ไม่ได้ แต่สิ่งที่ชดเชยมาก็คืองานกำกับศิลป์ระดับเทพ อย่างที่บอกไปว่าทีมงานเขาทำทุกฉากมาสวยน่ามองไปหมด มันก็หมายความว่าอย่างนั้นจริง ๆ ชนิดที่ว่าสวยทั้งกลางวันกลางคืน โทนสีก็จะออกเป็นแฟนตาซีมากกว่าทุกเกมที่ผ่านมา บวกกับแสงเงาที่ปรับจูนมาดีมาก ดังนั้นต้องชื่นชมว่าทีมงานเขาทำมาเต็มที่จริง ๆ สำหรับเกมที่เป็น Cross-gen เช่นนี้
และอีกอย่างที่ในที่สุด FromSoftware ก็ทำสำเร็จ นั่นคือเวลาในการโหลด ซึ่งปกติเกมตระกูล Souls จะต้องตายกันบ่อยอยู่แล้ว และแม้ว่าจะชวนหัวร้อน แต่มันก็รำคาญกว่าตรงที่มันต้องรอโหลดนาน แถมจะวาร์ปเปลี่ยนฉากนิดหน่อยก็ต้องรอโหลดด้วย แต่สำหรับ Elden Ring มันเป็นเกมที่ดึงพลังของ SSD มาใช้ได้เต็มประสิทธิภาพทั้งบน PC และ PlayStation 5 ก็เลยทำให้โหลดแผนที่ขึ้นมาได้ไวมาก (เจอนานสุดไม่เกิน 10 วินาที) คือกับเกมที่มีสเกลแผนที่ระดับนี้ ก็ต้องบอกได้เลยว่าน่าพอใจอย่างถึงที่สุดแล้ว
ส่วนถ้าใครเห็นสเปคความต้องการบน PC ที่ทีมงานเปิดเผยออกมา จะรู้เลยว่ามันค่อนข้างสูง ซึ่งพอมาเจอจริง ๆ แล้วก็เป็นไปตามนั้นว่าตัวเกมจะกินสเปคพอสมควร และแม้จะเข้าใจได้เพราะแผนที่กว้าง วัตถุในฉากมีเยอะ แต่ที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลย และก็เป็นจุดตายของ Elden Ring คือเกมนี้มีอาการกระตุกบ่อยมาก ถึงจะปรับตั้งค่าให้เล่นได้ลื่น ๆ แค่ไหน แต่ก็จะเจอจังหวะกระตุกอยู่ดี ถ้าจะบอกว่าทีมงานเขา Optimize บน PC ไม่ดีพอก็อาจจะส่วนหนึ่ง อีกส่วนก็เหมือนกับว่าตัว Engine มันยังไม่รองรับกับเกมสเกลนี้ พอล็อค Framerate ไว้ที่ 60 แล้วเจออะไรนิดหน่อยก็เลยทำกระตุกได้ ซึ่งจะเห็นชัดมาก ๆ กับพวกฉาก Open Field ที่มีวัตถุเยอะ ๆ จึงดูแล้วก็แปลกอยู่เหมือนกันที่เขาทำความเร็วโหลดได้ดี แต่ดันไปตายที่ปัญหากระตุกเสียอย่างนั้น ที่สำคัญคือในช่วงที่มีการปล่อย Network Test ออกมา เราก็ได้ลองเกมนี้บน PlayStation 5 ด้วย ซึ่งก็พบว่ามันกระตุกเหมือนกัน เพราะฉะนั้นก็ได้แต่หวังว่าในแพทช์ Day One มันจะแก้ไขประสิทธิภาพให้ดีขึ้นแล้วทั้งบน PC และคอนโซล
สรุป
แม้ว่ามันจะไม่ได้ถึงกับฉีกแนว ปฏิวัติเกมเพลย์ไปจากซีรีส์ Souls แบบที่เราเคยรู้จัก แต่นี่ก็คือผลงานร่างสมบูรณ์ที่สุดแล้วสำหรับ FromSoftware ด้วยความเป็นเกมแฟนตาซีที่อุดมไปด้วยสถานที่อลังการ และเรื่องราวอันซับซ้อน ใครที่กำลังโหยหาประสบการณ์ตาย เกิด วนเวียนในสเกลขนาดใหญ่ พร้อมฉากบอสไฟต์ระดับพระกาฬ ก็ขอให้สบายใจได้ เพราะ elden ring จะไม่ทำให้คุณต้องผิดหวังแน่นอน
Score : 9 / 10